โรคเส้นเลือดในสมองตีบ
โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการตายอันดับ 2 ในคนอายุมากกว่า 60 ปี ในปัจจุบันอัมพฤกษ์ อัมพาต เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองเป็นอาการที่คนทั่วไปโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะกลัวกันมาก เมื่อมีอาการแขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายแล้วมักจะไม่ค่อยหาย หรือหายแต่ไม่หายสนิท ต้องใช้เวลาฟื้นฟูสมรรถภาพค่อนข้างนาน มีความพิการหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย สาเหตุของอาการมีได้หลายอย่าง แต่ที่พบบ่อยที่สุด คือ โรคหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตก ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ จนทำให้สมองขาดเลือด และทันทีที่สมองขาดเลือด เซลล์สมองต่างๆ จะค่อยๆถูกทำลาย ส่งผลให้สมองสูญเสียหน้าที่จนเกิดเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
เส้นเลือดในสมองตีบ เมื่อสมองขาดเลือดจะทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติโดยจะแสดงอาการต่างๆ เช่น ปวดหัว เวียนหัว มึนงง บ้านหมุน ทรงตัวลำบาก แขนขาอ่อนแรงและมือเท้าชา อาจเป็นสัญญาณอันตรายเสี่ยงต่อการเสียชีวิตและเป็นอัมพาต
อาการของโรคเส้นเลือดในสมองตีบ- อาการแขนขาอ่อนแรง เดินเซ สูญเสียการทรงตัว
- ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด พูดไม่ออก ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง
- การมองเห็นมีปัญหา มองเห็นภาพซ้อน หรือมองเห็นภาพครึ่งเดียว
- สับสน หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรงแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
ภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดสมอง
สูญเสียความทรงจำ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจลดลงปัญหาด้านอารมณ์ เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้ากลืนอาหารลำบาก อาจทำให้เกิดการสำลักและเกิดปอดอักเสบหรือติดเชื้อในปอดได้มีปัญหาในการควบคุมการปัสสาวะ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารและเลือดออกในกะโหลกศีรษะ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการทานยาละลายลิ่มเลือดปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบปัจจัยเสี่ยงป้องกันได้- โรคความดันโลหิตสูง
- คอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วน
- สูบบุหรี่,ดื่มสุรา
- ความเครียด
- ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ ทำให้ลิ่มเลือดไปอุดตันที่สมอง
- ผู้ที่ต้องนั่งรถหรือเครื่องบินเป็นเวลานานๆ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
ปัจจัยเสี่ยงป้องกันไม่ได้- อายุ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- เพศ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
- พันธุกรรม การที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมองจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป
อายุที่มากขึ้นทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพลงไปด้วยผิวชั้นในของผนังหลอดเลือดด้านในอาจจะหนาหรือแข็งขึ้นจากการที่มีไขมันหรือหินปูนมาเกาะทำให้เส้นเลือดแคบลงส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้น้อยลง เพศชาย มีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดตีบมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากพบการแข็งตัวของเลือดกว่าปกติ ทำให้มีความเสี่ยงของการที่เม็ดเลือดจับตัวกันหรือเกิดลิ่มเลือดได้ง่ายกว่าคนทั่วไปสัญญาณอันตราย เส้นเลือดในสมองตีบ- มีอาการชา หรืออ่อนแรงที่ใบหน้า และ/หรือบริเวณแขนขาครึ่งซีกของร่างกาย
- พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว ขยับปากได้ไม่ปกติ น้ำลายไหล กลืนลำบาก
- ปวด หรือเวียนศีรษะเฉียบพลัน
- ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือเห็นเพียงครึ่งซีก หรืออาจจะตาบอดข้างเดียวเฉียบพลัน
- เดินเซ ทรงตัวลำบาก
- อาการเหล่านี้อาจเกิดเพียงชั่วคราวแล้วหายไป อาจจะเกิดขึ้นหลายครั้งเป็นๆหายๆ หรืออาจจะมีอาการตอนที่หลอดเลือดอุดตันจนมีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมองไม่เพียงพอกะทันหัน จนทำให้สมองขาดเลือดถาวร ดังนั้นหากมีสัญญาณตามอาการดังกล่าวแม้เพียงครั้งเดียว ก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดโดยทันที เพราะหากไม่ถึงชีวิต ก็อาจมีความเสี่ยงเป็นอัมพฤต อัมพาตได้เช่นกัน
วิธีป้องกันโรคเส้นเลือดในสมองตีบ- ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง ถ้าพบต้องรีบรักษาและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมระดับความดันโลหิต ปริมาณไขมัน และน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลา
- ควบคุมอาหาร โดยลดอาหารรสเค็ม หวาน และมัน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ และอย่างน้อย 30 นาที/ครั้ง
- งดการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์
- หากมีอาการตามที่กล่าวเอาไว้ใน “สัญญาณอันตราย เส้นเลือดในสมองตีบ” ควรรีบพบแพทย์ทันที
แนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดในสมองตีบ แพทย์อาจทำการสั่งยาสลายลิ่มเลือดให้ทาน เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น วิธีนี้จะได้ผลดีกับผู้ป่วยที่มีอาการแล้วรีบมาพบแพทย์ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง (ไม่เกิน3ชั่วโมง) แต่หากถึงขั้นเส้นเลือดในสมองปริหรือแตกจนเลือดออก แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสมองที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิต
การรักษาและปฏิบัติตัว- ดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
- พยายามควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ
การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน หรือจะออกกำลังกายแบบแอโรบิคสามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองในทุกด้านได้ การออกกำลังกายนอกจากสามารถปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของคนที่เป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดแล้ว ยังสามารถช่วยเรื่องการลดน้ำหนัก ควบคุมโรคเบาหวานและลดความเครียดได้อีกด้วย ซึ่งหากได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วตั้งแต่แรก จะสามารถลดอัตราการตายและพิการลงได้มากหรือสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่เบอร์ 099-4414690 ทางศูนย์อยู่สุขเนอสซิ่งโฮม ยินดีให้บริการ
ปรึกษาปัญหาผู้สูงอายุ สอบถามบริการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (เบอร์ 099-441-4690, 086-955-8889) หรือ ติดต่อเรา